วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สายตาเสียได้เพราะแดดและรังสียูวี




  แฟชั่นหน้าร้อน นอกจากจะได้เห็นเพื่อนๆ ใส่เสื้อผ้าพลิ้วปลิวไสวแล้ว ที่สังเกตได้อีกอย่างนึงคือ หลายคนมักมีเครื่องประดับคู่กายอย่างแว่นกันแดดใส่ไปเที่ยวด้วยทุกครั้ง หากมองในมุมแฟชั่นก็คงต้องบอกว่ามันดูเก๋ดี เสริมบุคลิกได้ด้วย แต่ประโยชน์ที่แท้จริงของแว่นกันแดดมีมากกว่าใส่เพื่อความสวยงามนะคะ ซึ่งคุณสมบัติของมันก็บอกอยู่ในชื่ออยู่แล้ว เป็นแว่นสำหรับ "กันแสงแดด" นั่นเอง

ทำไมต้องป้องกันแสงแดดไม่ให้เข้าตา??
             แดดในเมืองไทยทุกวันนี้ ถ้าไม่บอกว่าอุณหภูมิเกือบ 40 องศาเซลเซียส ก็คงนึกว่ากำลังอยู่ในเตาไมโครเวฟ เพราะทั้งร้อนระอุและแสงจ้าแยงตามากๆ บางทีพี่มิ้นท์เดินตามข้างถนน(เดินอย่างเดียวนะ ไม่ได้นั่ง)ตอนกลางวัน เจอแสงสะท้อนจากถนนเข้าตาจนปวดตาหน้ามืดเลยค่ะ หากใครเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ให้ระวังและหาทางป้องกันด้วยนะ เพราะรังสี UV ในแสงแดดและความสว่างของแสงแดดมีผลต่อดวงตาของเราโดยตรงเลย เราอาจจะไม่เห็นผลลัพธ์ของมันตอนนี้ แต่มันค่อยๆ สะสมจนอาจเป็นอันตรายในอนาคตได้

            ในแสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเลต(UV) ที่สายตาของเรามองไม่เห็น เนื่องจากดวงตามีขีดการมองแสงที่จำกัด แม้ว่าเราจะมองไม่เห็นแสง UV แต่บอกไว้ก่อนเลยว่ารังสี UV เป็นอันตรายต่อดวงตาของเรามากๆ เลย ถ้าหากได้รับในปริมาณมาก โดยรังสี UV ในแสงแดดจะมี 3 ส่วนด้วยกัน  คือ

               1.รังสีอัลตราไวโอเลต -A (UV -A) มีความยาวคลื่น 320-400 nm รังสีชนิดนี้ส่วนใหญ่มีผลต่อผิวหนังค่ะ ทำให้ผิวหนังคล้ำ และเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งด้วย แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ถึงแม้จะเป็นรังสีที่มีพลังงานต่ำ แต่มันสามารถผ่านเข้าไปชั้นลึกของลูกตาได้มากกว่า ถ้าได้รับปริมาณมากจะเกิดต้อกระจกได้
               2.รังสีอัลตราไวโอเลต -B (UV-B) รังสีชนิดนี้มีความยาวคลื่น 280-320 nm หากเทียบกับ UVA รังสีชนิดนี้จะมีพลังงานสูงกว่า ผลเสียก็มากกว่าด้วย คือ ทำให้ผิวหนังไหม้  และรังสีชนิดนี้จะถูกดูดซับที่กระจกตาและเยื่อบุลูกตา เข้าไปทำลายโปรตีนในเนื้อเลนส์แก้วตา อาจทำให้เป็นต้อลม ต้อเนื้อและต้อกระจกได้เช่นกัน
              3.รังสีอัลตราไวโอเลต -C (UV-C) ความยาวคลื่น 100-290 รังสีชนิดนี้ถูกดูดซึมไประหว่างที่เข้ามาในชั้นบรรยากาศ จึงไม่ค่อยมีผลอะไรมาก


  แค่นี้ฟังดูก็ว่าน่ากลัวแล้ว แต่มันยังน่ากลัวได้อีก ปกติชั้นโอโซนในบรรยากาศจะที่มีหน้าที่กรองรังสี UV ที่ส่งตรงมาจากดวงอาทิตย์ก่อนเข้ามาสู่โลก แต่ในปัจจุบันชั้นโอโซนมันค่อยๆ บางลงเรื่อยๆ ชั้นโอโซนคงรับมือไว้ไม่ค่อยอยู่  ส่งผลให้รังสี UV ทะลุผ่านเข้ามาได้มากขึ้น ปริมาณ UV ก็ยิ่งมากขึ้น แล้วยังไงล่ะ!?! ตาของเราก็จะยิ่งเสี่ยงเป็นพวกต้อได้มากขึ้นนั่นเอง ส่วนแสงแดดจ้าๆ ที่เรามองเห็นยิ่งอันตรายใหญ่เลยค่ะ เพราะจะถูกดูดซับที่จอประสาทตา ทำให้ตาพร่ามัว ปวดตา ดังนั้นน้องๆ คงรู้สึกได้ว่าเวลาเราพยายามแหงนหน้ามองท้องฟ้าเวลากลางวัน จะแสบตาจนทนไม่ได้เลยทีเดียว (ใครไม่เคยทำ ก็อย่าอุตริไปลองแหงนมองพระอาทิตย์ล่ะ ตาบอดได้เลยนะคะน้องๆ)

            เมื่อรู้ถึงอันตรายของแสงแดดขนาดนี้แล้ว ก็ควรหันกลับมาให้ความสำคัญกับการถนอมดวงตาของเราได้แล้วนะ ซึ่งการใช้มือบังหรือใช้ร่มก็พอช่วยได้ส่วนหนึ่ง แต่ที่ช่วยได้ดีที่สุด คือ การสวมแว่นกันแดดเวลาออกกลางแจ้งค่ะ

           สำหรับแว่นกันแดดในปัจจุบันก็มีหลากหลายรูปแบบ มีตั้งแต่ราคาหลักร้อยไปจนถึงหลักพัน ซึ่งวิธีการเลือกแว่นนั้นมองที่ราคาเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะมีการทดสอบแล้วว่าบางทีแว่นถูกๆ ก็กันรังสีได้ แต่สิ่งที่น้องๆ ควรดูก็คือ ดูที่ฉลากว่าสามารถป้องกันรังสี UVA และ UVB ได้มั้ย ซึ่งตามหลักมาตรฐานขององค์การอาหารและยาของอเมริกาได้กำหนดมาตรฐานการป้องกันรังสี UV ของแว่นกันแดดไว้ว่า ต้องป้องกัน UVA ได้อย่างน้อย 95% และ UVB ไม่น้อยกว่า 99%

            ส่วนเรื่องสีของเลนส์ที่มีทั้งสีดำ สีชา สีเทา ฯลฯ ก็มีผลต่อการป้องกัน UV ได้เหมือนกัน ต่างกันแค่ประโยชน์ในแง่การใช้งานมากกว่า เช่น เลนส์สีเขียว อาจจะช่วยให้รู้สึกสบายตามากกว่า หรือเลนส์สีน้ำตาลก็ทำให้มองสีธรรมชาติได้ชัดเจนขึ้น ดังนั้นแว่นเลนส์ใส ก็สามารถป้องกัน UV ได้เหมือนกันค่ะ



  ตอนนี้น้องๆ คงรู้ถึงอันตรายของแสงแดดที่มีต่อดวงตาไปแล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าหลายคนไม่กล้าใส่แว่นกันแดดในวันปกติ เพราะกลัวจะดูเว่อร์จนคนรอบข้างหันมามอง เอ่ออ..ดวงตาของเรานะคะ เราทำในสิ่งที่ถูกต้องและมีประโยชน์ก็อย่าไปแคร์ค่ะ ขนาดผิวเรายังต้องทาครีมกันแดด แล้วตาของเราที่สำคัญกว่าก็ยิ่งต้องได้รับการดูแลที่มากขึ้น ถ้าลองไปดูในต่างประเทศ การสวมแว่นกันแดดถือเป็นเรื่องปกติมากและเขาก็ใส่เพื่อถนอมสายตาไม่ใช่เพื่อแฟชั่นเพียงอย่างเดียว  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น