วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

9 Wake-Up Moves ขยับแก้ง่วง


เชื่อว่า ผู้อ่านเองก็แอบพยักหน้าเห็นด้วยเหมือนกันค่ะ โดยเฉพาะนักเรียนและหนุ่มสาววัยทำงาน ปักษ์นี้ ชีวจิต จึงนำเคล็ดลับออกกำลังบนเตียง ปลุกร่างกายให้ตื่นมาฝากค่ะ
Wake Me Up

อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต เขียนในหนังสือ ‘ชีวิตเริ่มต้นเมื่อ 70' ว่า "นายแพทย์ทอเบน เกล ประธานสมาคมเจอรอนโทโลยีระหว่างชาติ(National Gerontology Association) กล่าวว่า มนุษย์มีอายุอยู่ได้ถึง 120 ปีเป็นอย่างน้อย และปัจจัยที่ทำให้อายุยืน คือ ต้องนอนหลับให้เพียงพอ เหตุเพราะแบบนี้หรือเปล่าไม่ทราบ ที่ทำให้คนชอบนอนทั้งหลาย ถือโอกาสนอนยกใหญ่

"อ้างต่อๆ กันไปว่า นอนเยอะๆ แล้วจะอายุยืน บิดขี้เกียจจนสายยังไม่ค่อยจะตื่น เท่านั้นยังจุใจไม่พอ บางคนไปเที่ยวดึกๆ ดื่นๆ นอนเช้าวันเสาร์ ไปตื่นอีกทีเช้าวันจันทร์เลยก็มี ข้อเท็จจริง คือ นอนกินบ้านกินเมืองแบบนั้น จะอายุสั้น ถ้าตื่นไม่ไหวถึงขนาดต้องนอนเกิน 12 ชั่วโมง แสดงว่าร่างกายกำลังป่วยหนัก" 

การนอนหลับสนิท 5 - 8 ชั่วโมง โดยตื่นขึ้นมามีเรี่ยวแรง กระปรี้กระเปร่า สดชื่น สมองแจ่มใส ถือเป็นการนอนที่ถูกต้อง ซึ่งอาจารย์สาทิส ก็ได้อธิบายไว้อย่างละเอียด ว่า นิวโรทรานสมิตเตอร์(Neurotransmitter) จะเริ่มผ่อนคลาย ได้เคลียร์ตัวเอง และระบายท็อกซินออกไป แค่ขณะหลับเท่านั้นค่ะ 

ไม่นานมานี้ งานวิจัยฉบับหนึ่งจากประเทศอังกฤษ ตีพิมพ์เผยว่า ผลการศึกษาจากอาสาสมัครจำนวน 73 คน ผู้ที่เข้านอนก่อนเวลา 23.00 น. และตื่นนอนประมาณ 7.00 น. เป็นประจำ ติดต่อกันนาน 4 เดือน น้ำหนักลดลง ผิวพรรณสดใสขึ้น สมาธิดี จดจำสิ่งต่างๆได้เพิ่มขึ้น และมีความสุขค่ะ

ชีวจิต เล็งเห็นถึงประโยชน์มหาศาลของการตื่นเช้า แต่ผู้อ่านคงบอกว่า "รู้ว่าดี แต่ทำไม่ได้" จึงขอแนะนำท่าออกกำลังกาย ที่จะช่วยปลุกให้ตื่น ลุกจากที่นอนแบบไม่อาลัยอาวรณ์ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เพิ่มความยืดหยุ่นให้ร่างกายส่วนต่างๆ และช่วยให้สดชื่นทั้งวัน ดังต่อไปนี้ค่ะ
ท่าที่ 1 : Cat/Dog Stretch ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการชาตามมือและเท้า เพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย
Move No.1 คุกเข่า แยกเข่าห่างกันพอสมควร มือดันพื้นไว้ เหยียดแขนตรง โก้งโค้ง
Move No.2 หายใจเข้าลึกๆ เงยหน้าขึ้น พร้อมแอ่นหน้าอก กดแผ่นหลังลงจนกล้ามเนื้อตึง 
Move No.3 หายใจออกช้าๆ ก้มหน้าลง พร้อมโก่งตัวขึ้น เกร็งหน้าท้องให้แฟบ
ท่าที่ 2 : Butterfly Circle กระตุ้นระบบประสาทและสมอง ยืดกล้ามเนื้อบริเวณหัวไหล่ 
Move No.4 นอนหงาย ชูมือพนมเหนือใบหน้า ยืดแขนตึง พร้อมยกเข่าขึ้นตั้งฉาก ให้น่องขนานกับพื้น 
Move No.5 ค้างท่าไว้ บิดลำตัว หัวเข่า และแขนไปทางซ้ายหรือขวา หายใจเข้าลึกๆ 
Move No.6 หายใจออกช้าๆ บิดลำตัว หัวเข่า และแขนกลับไปอีกด้านหนึ่ง
ท่าที่ 3 : Bed Dip ลดอาการเท้าเย็น กระตุ้นให้แขนและมือได้ทำงาน เพิ่มสมาธิ 
Move No.7 นั่งหลังตรงบริเวณปลายเตียง วางมือไว้ด้านหลังข้างๆสะโพก 
Move No.8 กดฝ่ามือลงไปเพื่อรับน้ำหนัก ค่อยๆกระเถิบสะโพกเลื่อนออกจากเตียง หายใจเข้าลึกๆ
Move No.9 ลดระดับตัวลงจนแผ่นหลังสัมผัสขอบเตียง หายใจออกช้าๆ
ออกกำลังกายช่วยให้แจ่มใสเรียบร้อย อย่าลืมกินอาหารเช้าและดื่มน้ำอาร์.ซี. รับรองหายง่วงเป็นปลิดทิ้งค่ะ

มาส์กหน้า ให้ใสวิ้ง


ช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา สาวๆ หลายคนคงพักร้อนกันอย่างสนุกกับกิจกรรมกลางแจ้งมากมาย แต่เมื่อหมดเวลาสนุก สิ่งที่มาพร้อมกับกิจกรรมเหล่านี้ คงหนีไม่พ้นผิวหน้าสวยๆ ของสาวๆ ที่หยาบกร้าน หมองคล้ำ
เภสัชกรหญิง ภัชราพร ปิ่นสอาด จากร้านเพื่อสุขภาพและความงามวัตสัน แนะนำเคล็ดลับดีๆ ที่ช่วยทำให้ผิวหน้ากลับมาสวยชุ่มชื้นอีกครั้ง ด้วยการ "มาส์กหน้า" ว่า การมาส์กหน้าที่ถูกต้อง สาวๆ ต้องเลือกมาส์กให้ถูกแบบก่อน โดยเลือกจากคุณสมบัติที่ต้องการและการแก้ไขปัญหาผิวพรรณ อาทิ
เพื่อการทำความสะอาดขจัดสิ่งสกปรก เพื่อยกกระชับผิว หรือเพื่อฟื้นบำรุงผิว เมื่อเลือกประเภทมาส์กได้แล้ว ก็ต้องเข้าใจขั้นตอนการใช้ด้วย เพราะมาส์กบางประเภทต้องล้างออก และไม่ควรทิ้งนานกว่าเวลาที่กำหนด จะทำให้ผิวแห้งไป ทั้งนี้ การมาส์กหน้าก็ไม่ควรเกินสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
"ในขณะเดียวกันต้องมาส์กให้ถูกเวลา บางประเภทก็เหมาะสำหรับทำในช่วงเย็น เช่น มาส์กประเภทฟื้นบำรุง ส่วนยกกระชับ ควรทำในช่วงก่อนนอน เพื่อให้ผิวได้ฟื้นฟูขณะนอนหลับ หรือหากต้องการให้ผิวหน้าดูอิ่มเอิบ สดใสก่อนงานสำคัญ ก็สามารถมาส์กหน้าก่อนการบำรุงหรือแต่งหน้าในเวลากลางวันได้"
สำหรับส่วนผสมของแผ่นมาส์กมีสรรพคุณแตกต่างกันออกไป เช่น "ว่านหางจระเข้" มีสรรพคุณรักษาการอักเสบ ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นแลดูเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล ส่วน "สารสกัดคาโมไมล์" ช่วยลดการอักเสบของผิวหน้า ทำให้ผิวหน้าสดชื่น "ดอกลาเวนเดอร์" ที่บำรุงผิวให้หน้าสาวๆ ชุ่มชื้น พร้อมคืนสภาพสีผิวให้กลับมากระจ่างใส ไม่หมองคล้ำ "กรดผลไม้" เช่น มะเขือเทศ ช่วยกำจัดเซลล์ผิวเก่า ผลัดเซลล์ใหม่ ป้องกันผิวหนังจากการทำลายของมลภาวะ ซึ่งจะช่วยให้ผิวไม่เสื่อมโทรม
คราวนี้อยากบำรุงอะไร ก็เลือกได้สบายๆ แล้ว

แก้ไขรูปหน้าด้วยบลัชออน


การปัดบลัชออนนอกจากจะช่วยเติมสีสันให้ใบหน้าคุณดูเปล่งปลั่งสดใสแล้วยัง ช่วยอำพรางรูปหน้าที่มีปัญหาให้ดูดีขึ้นด้วย ถ้าคุณปัดบลัชออนด้วยวิธีของเรานี้
หน้าเหลี่ยม ปัดบลัชออนโทนสดใสลงบนแก้ม โดยเริ่มจากจุดสูงสุดของแก้ม แล้วลากแปรงให้เลยขึ้นไปจนถึงขมับ จากนั้นก็ปัดจากคางขึ้นไปถึงบริเวณใต้ใบหู ก็จะช่วยให้ขากรรไกรสี่เหลี่ยมดูโค้งมนขึ้นได้
หน้ากลม อย่าปัดบลัชออนลงบนจุดสูงสุดของแก้ม เพราะจะยิ่งเน้นให้เห็นหน้ากลมๆ ชัดขึ้น แต่ปัดให้สูงขึ้นอีกนิดนึงก็จะช่วยพรางตาให้ใบหน้าดูยาวขึ้นได้ จากนั้นใช้บรอนเซอร์หรือบลัชออนโทนสีน้ำตาลอมชมพู แรงเงาบริเวณใต้โหนกแก้มเรื่อยลงไปจนถึงขากรรไกร
หน้ายาว ปัดบลัชออนลงบนจุดสูงสุดของแก้ม แล้วลากแปรงออกไปจนถึงใบหู เพื่อสร้างภาพลวงตาให้ใบหน้าดูกว้างขึ้น จากนั้นพรางให้ใบหน้าดูสั้นลง โดยปัดบลัชออนผ่านกลางหน้าผากและตามรูปคาง

Office Google ออฟฟิศ ที่น่าทำงาน ที่สุดในโลก


ขึ้นชื่อว่าเป็นออฟฟิศต้นแบบเรื่องความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบพื้นที่ทำงานให้เอื้อต่อการสร้างสรรค์กันแบบสุดๆ
เมื่อกูเกิ้ลเดินทางไปเปิดสำนักงานที่ไหน ก็ไม่ลืมนำไอเดียออฟฟิศสุดเก๋ไปใช้ ดูอย่างกูเกิ้ลอิสราเอล ที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้สีเขียวสบายตา ห้องประชุมที่นำกระดานโต้คลื่นมาทำเป็นโต๊ะประชุม  มีห้องฟิตเนส โดยรวมแล้วออฟฟิศที่นี่หยิบจับธรรมชาติให้กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมรอบออฟฟิศ
ขอบคุณภาพประกอบ : www.freshome.com

ทำตาสองชั้นแบ๊วๆ ง่ายๆ ภายใน 3 นาที


สาวตาชั้นเดียว ตาเล็ก ตาไม่เท่ากัน ตาสองชั้นหลบใน อยากตาโต แบ๊วๆ ใสๆ ต้องตั้งใจฟังกันให้ดี เพราะวันนี้เรามีเคล็ดลับการทำตาโตแบ๊ว ง่ายๆ ภายใน 3 นาที เป๊ะเว่อร์ทันทีขอบอกกก...


อุปกรณ์ที่ต้องใช้
1. กาวทำตาสองชั้น + ไม้จิ้มรูปตัว Y 2. อายไลน์เนอร์ 3. ขนตาปลอม 4. มาสคาร่า


ขั้นตอนที่ 1

Marie Beauty Eye Cream from L-StyleBeauty

กะว่าอยากได้ชั้นตาโตประมาณไหน แล้วหลับตาทากาวบริเวณนั้น กินพื้นที่ทั้งบนและล่าง (บริเวณที่แรเงาสีเทา) หรือประมาณ 4-6 มิลลิเมตร แต่ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนว่าอยากได้ชั้นใหญ่แค่ไหน

ใช้ไม้ตัว Y จิ้มลงไปตรงกลางเปลือกตาตรงเส้นที่เรากะไว้โดยหันด้านงุ้มเข้าหาตัวเรา แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น ค้างไม้ทิ้งไว้จนกาวแห้ง จึงเอาไม้ออก

เอาไม้ด้านเล็ก จิ้มเส้นที่กะไว้บริเวณหางตา เพื่อให้รอยพับเชื่อมกับเส้นตรงกลางตา เท่านี้ก็ได้ตาสองชั้นสวยตรงใจ

ขั้นตอนที่ 2
Play up ดวงตาและพวงแก้มตามความชอบ จากนั้นค่อยไลน์เนอร์เพิ่มความขมเข้ม เน้นความเด่นให้ดวงตาคู่สวย

9 โรคร้าย!! ควรระวังในหน้าร้อน



1.โรคอุจจาระร่วง
ในช่วงเดือนมีนาคมในปีที่แล้ว มีผู้ป่วยจากโรคนี้ มากถึง 246,476 คน และเสียชีวิตมากถึง 35 ราย โรคนี้เกิดจากเชื้อโรค ต่างๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส โปรโตซัว และหนอนพยาธิ สามารถติดต่อได้โดยการทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนเข้าไป ผู้ป่วยจะถ่ายอุจจาระเหลวมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน หรือถ่ายเป็นน้ำหรือเป็นมูกปนเลือด ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องรวดเร็วร่างกายจะสูญเสีย น้ำและเกลือแร่ อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะช็อก หมดสติ หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้
2.โรคอาหารเป็นพิษ
เป็นโรคทางเดินอาหารที่พบบ่อยมากและมักเกิดขึ้นในเวลารวดเร็วหลังจากทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป มักพบในอาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ จากเนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว ไข่เป็ด ไข่ไก่ รวมทั้งอาหาร กระป๋อง อาหารทะเล และน้ำนมที่ยังไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการคลื่นไส้อาเจียน บางรายอาจมีถ่ายเหลวเป็นน้ำ มักไม่มีไข้ หายได้เอง แต่ถ้าเป็นมากต้องได้รับน้ำเกลือเสริม อาจดื่มหรือให้ทางเส้นเลือดแล้วแต่ความรุนแรง
3.โรคบิด
ผู้ป่วยจะมีอาการถ่ายเป็นมูกปนเลือดบ่อยครั้ง ร่วมกับอาการปวดเบ่งที่ทวารหนัก คล้ายถ่ายไม่สุด โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่ บิดชิเกลลา (shigellosis) หรือบิดไม่มีตัวและบิดอะมีบา (amebiasis) หรือบิดมีตัว

4.ไทฟอยด์ หรือไข้รากสาดน้อย
เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายโดยการทานอาหารหรือน้ำที่ถูกปนเปื้อน อาหารส่วนใหญ่ที่มักพบว่าทำให้เกิดโรค คือ อาหารจำพวกนม ผลิตภัณฑ์จากนม หอย ไข่ เนื้อสัตว์ น้ำ และอาหารอื่นๆ ที่ถูกปนเปื้อน ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ สัปดาห์แรกไข้มักไม่สูง อาจมีอาการปวดศีรษะ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปวดเมื่อย ตามตัว อาจมีหนาวสั่นได้ คนไข้ซึมลง อาจเพ้อ
5.อหิวาตกโรค (cholera)
เป็นโรคติดต่อที่มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย (Vibrio cholerae) เข้าสู่ร่างกายโดยการทานอาหารหรือน้ำที่มีเชื้ออหิวาตกโรค หรือพิษของเชื้ออหิวาตกโรคปะปนอยู่ เช่น อาหารที่มีแมลงวันตอม อาหารสุกๆ ดิบๆ อาหารกระป๋องที่เสียแล้ว เชื้อโรคจะสร้างพิษออกมาทำปฏิกิริยากับเยื่อบุผนังลำไส้เล็กทำให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง อุจจาระเป็นน้ำสีซาวข้าว ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้
6.โรคระบบทางเดินหายใจ
เช่น โรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม ปวดหัว ตัวร้อน ไอจาม ทั้งนี้ เพราะอากาศเปลี่ยนไปมาหรืออยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทไม่ดี ร่วมกับร่างกายที่อ่อนแอ เมื่อรู้สึกตัวว่าเป็นหวัดให้พักผ่อน ดื่มน้ำอุ่นให้มากๆ ถ้าตัวร้อนให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำ คอยประคบระบายความร้อนออก และแยกนอนร่วมกับผู้อื่น หากยังไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์ ในบางกรณีน้ำมูกอาจเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือเขียวได้ อาจต้องกินยาปฏิชีวนะร่วมด้วย
7. โรคผิวหนัง
ในหน้าร้อนอาจทำให้เราเกิดเม็ด ผดผื่นคัน สามารถป้องกันได้ด้วยการอาบน้ำชำระร่างกายและรักษาความสะอาดบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำสกปรกหรือน้ำที่ไม่สะอาด โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์ที่มีการเล่นสาดน้ำกัน
8. โรคพิษสุนัขบ้า หรือโรคกลัวน้ำ
เป็นโรคติดต่อร้ายแรงชนิดหนึ่งที่มีสุนัขเป็นพาหะหลักที่นำเชื้อไวรัสมาสู่คน โดยสุนัขบ้าอาจกัด ข่วน หรือเลียผิวหนังคนมีแผลเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้านี้ เมื่อมีอาการของโรคจะเสียชีวิตทุกราย แต่เราสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และหากถูกสุนัขที่สงสัยว่าอาจมีเชื้อโรคพิษสุนัขบ้ากัด ข่วน หรือเลียผิวหนัง ต้องไปหาหมอทันที ที่สำคัญ ควรนำสุนัขไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าทุกปี โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อน เพื่อความปลอดภัยสำหรับทุกคน

9. โรคเครียด
เป็นปัญหาหนึ่งที่พบบ่อยในหน้าร้อน ทำให้เกิดอาการปวดหัว นอนไม่หลับ โมโหและหงุดหงิดง่าย จนกระทบไปถึงความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง และอาจทำให้เกิดการทะเลาะกันง่ายขึ้น วิธีคลายเครียดง่ายๆ คือ หนีร้อนไปอยู่ในที่ที่มีอากาศเย็นสบาย เช่น ในห้องแอร์ ใต้ร่มไม้ หรือหางานอดิเรกทำ ฝึกสมาธิ เป็นต้น
แต่อย่าเพิ่งตกใจไป มีวิธีป้องกันได้
1. เลือกทานอาหาร-น้ำดื่ม เน้นความสด ใหม่ สะอาด สินค้ากระป๋องไม่หมดอายุ
2. ทำร่างกายให้แข็งแรง หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที แต่ร้อนๆ อย่างนี้ ไม่ควรหักโหมจนเกินไป
3. ปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม ไม่ว่าที่บ้านหรือที่ทำงาน อากาศต้องถ่ายเทสะดวก ส่วนห้องแอร์ก็ต้องเย็นอย่างพอเหมาะด้วยอุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส ไม่อย่างนั้นพอออกไปข้างนอกห้องอาจทำให้เกิดอาการวูบได้ง่ายๆ
4. อยู่บ้านดีกว่า นอกจากจะประหยัดในยุคเศรษฐกิจขาลงแบบนี้ การอยู่บ้านยังทำให้เราเย็นสบาย ไม่ต้องกลัวโรคลมแดด แต่หากจำเป็นควร สวมหมวก หรือกางร่มก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด
5. ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัวอย่างโรคความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจทำให้ร่างกายปรับสภาพไม่ทันถึงขั้นเกิดภาวะช็อกได้

สารอันตรายในบุหรี่




31 พฤษภาคมของทุกปี เป็น วันงดสูบบุหรี่โลก World No Tobacco Day เพื่อกระตุ้นให้ผู้ที่สูบบุหรี่อยู่เลิกสูบ Infographic จึงนำเสนอข้อมูลดีๆ จากแฟนเพจเฟซบุ๊กศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ เกี่ยวกับ สารอันตรายในบุหรี่

ซึ่งในบุหรี่มีสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกายกว่า 4000 ชนิด โดยเป็นสารก่อมะเร็งกว่า 60 ชนิด ซึ่งสารในบุหรี่ล้วนแล้วแต่เป็นสารพิษที่ทำร้ายร่างกายของผู้สูบรวมถึงคนรอบข้าง

เรามาดูตัวอย่าง 7 สารอันตราย จาก 4000 สารอันตรายที่อยู่ในบุหรี่ กัน...

1. TAR หรือ น้ำมันดิบ : น้ำมันทาไม้กันปลวก

2. ไฮโดรเจนไดออกไซด์ : ก๊าซพิษที่ใช้ในอาวุธสงคราม

3. ไนโตรเจนไดออกไซด์ : ก๊าซเผาไหม้เชื้อเพลิง

4.แอมโมเนีย : ตัวก่อประกายไฟและจุดระเบิด

5. ไฮไดรเจนไซยาไนต์ : พบในยาเบื่อหนู

6. คาร์บอนมอนนอกไซด์ : ก๊าซจากท่อไอเสียรถ

7. สารกัมมันตรังสี : สารประกอบระเบิดนิวเคลียร์

10 เทคโนโลยียานยนต์...ไม่เข้าท่า .. ของเจ๋งๆ ก็ไม่ได้เจ๋งเสมอไป


ทุกวันนี้ เมื่อพูดถึงรถยนต์เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนั้นถือว่าเป็นคีย์สำคัญของการพัฒนารถยนต์ในการเพิ่มมูลค่าให้รถยนต์นั้นมีสิ่งที่ดีมากขึ้น ทั้งสมรรถนะและความสะดวกสบายหรือจะเป็นในเรื่องของความประหยัดเองก็ตาม
                เทคโนโลยีที่มากมาย ในทุกวันนี้ อาจจะทำให้หลายคนเชื่ออย่างสนิทใจว่า  เทคโนโลยีก็หมายถึงสิ่งที่ดีขึ้นตามลำดับ แต่ทั้งที่จริงแล้ว มันอาจจะไม่ได้ดีอย่างที่พวกเราเข้าใจ เช่นเดียวกันอาจจะเป็นสิ่งทำให้ยากขึ้นต่อการใช้งานด้วย และวันนี้เราจะมาดุว่า  10 เทคโนโลยีไม่เข้าท่าในโลกยานยนตืกันเลยว่า จะมีอะไรบ้าง

อันดับที่ 10 เครื่องเสียงระบบสัมผัส ของ  Chevrolet Volt
                บางทีความล้ำหน้าไปก็ทำให้อะไรดูจะไม่ลงตัว อย่างเช่นเจ้ารถไฟฟ้า  Chevrolet Volt  นี้เองที่มันทำให้หลายคนต้องแปลกใจกับความไม่ลงตัวด้วยระบบความบันเทิงที่ทั้งหมดนั้นไม่ใช่ปุ่มแต่เป็นการสัมผัส ซึ่งเมื่อคุณแตะมันจะรับคำสั่งไปปฏิบัติตาม แต่ อย่าคิดว่ามันจะดูรู้สึกเหมือนคำพูด เพราะเอาเข้าจริงตอนแตะไปมันรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้เหมือนเราสัมผัสหน้าจอโทรศัพท์ ที่ใช้กันจนชิน อาจจะเรียกว่าเป็นสิ่งเดียวที่ Volt  ตกม้าตายก็ได้
อันดับที่ 9 เบรกมือไฟฟ้า
                เราเริ่มเห็นมากขึ้นในรถยนต์อเมริกาตัวหรูกับเบรกมือไฟฟ้า ที่เริ่มติดตั้งมากขึ้น ข้อดีมันคือลดพื้นที่จากคันเบรกมือที่เอาไว้โยกกลายเป็นเพียงปุ่มที่ใช้นิ้วสะกิดก็เพียงพอต่อการใช้งาน แต่ที่จริงก็ไม่เข้าท่านัก เพราะ นัยหนึ่งของเบรกมือ มันคือเบรกฉุกเฉินด้วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญการขับขี่ทั่วโลกกล่าวว่า คุณจะมีโอกาสรอดสูงขึ้นถ้ารู้จักใช้เบรกมือในยามฉุกเฉิน และเมื่อมันเป็นเบรกไฟฟ้า การทำงานที่ช้าของมัน ก็ทำให้ไม่สามารถตอบสนองยามฉุกเฉินได้ดีเท่าที่ควรนัก แต่ก็จริงอยู่ว่ายามหน้าสิ่วหน้าขวานจะมีใครคิดถึงเจ้าคันโยกข้างตัวหรือไม่
อันดับที่  8 สัญญาณเตือนวัตถุกีดขวาง
                สัญญาณนี้มันก็คือการทำงานเดียวกับรูปแบบสัญญาณเตือนถอยจอดที่คอยกรี๊ดร้อง บี๊บๆ ตลอดเวลาที่มัน ทำงาน ช่วยบอกคุณว่า มันมีวัตถุ หรือใครทะลึ่งเดินตัดหลังรถคุณหรือไม่ ระบบสัญญาณนี้มีข้อดี แต่มันก็ทำให้เราขี้เกียจไปในตัว คุณจะเกิดการวางใจในตัวความไฮเทคมากเกินไป และท้ายที่สุด เมื่อมีความผิดพลาดกับระบบคุณจะไม่มีวันรู้ ดังนั้นอย่าเชื่อสัญญาณเหล่านี้มากไปนัก
อันดับที่   7 เข็มขัดนิรภัยอัตโนมัติ
                เราหลายคนอาจจะไม่เคยเจอเจ้าเข็มขัดนิรภัยอัตโนมัติ แต่กาลครั้งหนึ่งนี่คือเทคโนโลยีที่เรียกว่าทันสมัยที่สุดในโลก ก่อนที่จะมีถุงลมนิรภัยด้วยซ้ำไป โดยระบบ จะทำการล็อคเข็มขัดนิรภัยอัตโนมัติ โดยอาศัยการเปลี่ยนตำแหน่งของ จุดยึดในตัวรถ โดยรถในอเมริกา ช่วงปี  1980 บางรุ่นมีระบบนี้ แต่ท้ายที่สุด มันก็กลายเป็นประวัติศาสตร์ เมื่อจากการศึกษาพบว่า รถที่มีระบบเข็มขัดนิรภัยอัตโนมัติ มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุสูงกว่ารถทั่วไป จนกระทั่งท้ายที่สุดในช่วงปี 1984  ก็ได้ปลดระวางระบบนี้ออกไป หลังจากที่มีกฏให้ผู้ผลิตรถยนต์ในอเมริกาต้องติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยอย่างน้อยสองระบบขึ้นไป ในรถที่วางจำหน่าย เมื่อประกอบกับความทันสมัยของถุงลมนิรภัยที่มีมากขึ้น มันจึงไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
อันดับที่  6 กระจกตัดแสงอัตโนมัติ
                ทุกวันนี้รถทุกครั้งมาพร้อมกระจกตัดแสงเป็นมาตรฐาน แต่ว่าถึงจะมีแต่จะมีสักกี่คนที่ใช้มันจริงจัง ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะพวกเขาไม่รู้ว่ามันมีให้ใช้งาน ดังนั้นค่ายรถยนต์บางเจ้าจึงคิดระบบที่ช่วยในการปรับกระจกให้มันตัดแสงอัตโนมัติขึ้นมา ข้อดีคือคุณไม่แม้แต่ต้องยื่นมือไปจับมัน ทว่าข้อเสียมันนั้นก็คือ มันจะรู้ใจคนขับได้อย่างไร เพราะ บางคนก็อาจจะคุ้นชินกับการขับรถที่ไม่มีกระจกแบบตัดแสง แถมไหนจะมีน้ำหนักเพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้าในตัวมันอีกต่างหาก และแน่นอนว่าราคาของมันนั้นก็ไม่ใช่ถูกๆเลย
อันดับที่ 5 อ่านแผนที่
                คงไม่เคยมีใครสงสัยว่าทำไมในห้องโดยสารต้องมีไฟ แล้วเราดันเรียกมันอีกว่า "ไฟส่องอ่านแผนที่" ที่จริงมันมาจากวงการแข่งรถแรลลี่ เมื่อช่วงปี 1970  สมัยที่การนำทางยังต้องอาศัยแผนที่และรถแรลลี่ก็ต้องใช้มันในการขับขี่ ไปให้ถึงเส้นชัย นั่นทำให้  Hella  เข้ามามีบทบาทโดยพวกเขาคิดชุดไฟที่สามารถติดตั้งไว้ที่กระจกมองหลัง และสามารถส่องสว่างโดยไม่รบกวนสายตานักขับ และมันก็หลายมาเป็นออพชั่นแต่งรถของ Mercury Capri ก่อนที่จะเริ่มฮิตต่อเนื่องจนมาเป็นมาตรฐานอย่างที่เราเห็นกันในวันนี้
                ที่ไม่เข้าท่าคือเราแทบไม่เคยใช้งานมันตามจุดประสงค์ของมันที่แท้จริงในการส่องอ่านแผนที แต่กลับใช้มันให้ความปลอดภัยหรือหาของมากกว่า และที่จริง คุณแทบจะนับครั้งที่ไปเปิดเจ้าไฟนี้ที่มีมาให้เพื่อคิดราคาเพิ่มกับคุณ
อันดับที่ 4 ไฟหน้าปรับทิศทางได้
                ในช่วงราวๆปี 2000 เราหลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องไฟหน้าที่สามารถเลี้ยวตามการขับขี่ของเราในโค้ง ซึ่งทำให้เราสามารถมองเห็นมุมอับได้ในยามค่ำคืน แน่นอนว่ามันย่อมฟังดูดีมีประโยชน์ แต่แล้วก็เริ่มหายไปแล้วแทนที่ด้วยไฟที่ส่องสว่างมากกว่าเดิม
                ไฟหน้าปรับทิศทางได้ มันไร้ซึ่งประโยชน์แถมยังหลายเป็นข้อเสียมากกว่าข้อดี เพราะว่า พวกมันนั้นอาจะทำให้คุณมองลำบากขึ้นด้วยซ้ำไป ที่จริงอาจจะเป็­นเพราะเรากับคุ้นไฟธรรมดาที่หันตามโครงสร้างรถมากกว่า แต่ว่านอกจากมันดูยากกว่าเดิมแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่สูงมากขึ้นด้วย
อันดับที่ 3 ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
                ปัดน้ำฝนอุปกรณ์ที่มีความสำคัญมากในการช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ในยามฝนตกพรำๆ และทุกวันนี้เราก็มักจะเจอ ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติมากับรถหรูเสมอ ใช่พวกมันฟังดูดีทีเดียว อย่างน้อยสุดคุณก็ไม่ต้องเสียแคลอรี่ในการทำให้พวกมันทำงาน ทั้งที่จริงๆ ส่วนใหญ่ก็เพียงแตะก้านให้มันทำงาน ง่ายกว่าปอกกล้วยเข้าปากเสียอีก แต่ด้วยเหตุผลความปลอดภัยอะไรก็ตามระบบอัตโนมัติจึงเข้ามากลายเป็นจุดขาย ซึ่งก็ดีที่ให้ความสบายมากขึ้น แต่ระบบก็ยังประเมินไม่ถูกต้องเท่าเซนเซอร์มนุษย์ว่าเมื่อไรควรจะปัด บางทีแค่น้ำเพียงหยดเล็กๆ ถ้ามันอยู่ใกล้เซนเซอร์มากพอ มันก็จะปัดเอง ทั้งที่อาจจะยังไม่จำเป็นก็ได้
อันดับที่ 2  ไม่คาดเข็มขัดเครื่องยนต์ไม่ติด
                อาจจะเรียกว่าเป็นไอเดียที่ดีสำหรับคนไม่ชอบคาดเข็มขัด แต่มันดันมาผิดที่ผิดเวลา เพราะ เทคโนโลยีนี้มีมาตั้งแต่ปี 1973 แล้ว โดยคิดค้นเพื่อป้องกันให้คนไม่ประมาทและคาดเข็มขัดมีการออกกฏในบางรัฐอย่าง มินิโซต้า ว่าให้ทำระบบที่ทำให้คนคาดเข็มขัดนิรภัยก่อนสตาร์ท ซึ่งถ้าคุณไม่คาด รถก็จะสตาร์ทไม่ได้
                ใช่แล้วมันฟังดูดีทีเดียวสำหรับแนวคิดแต่พวกเขาลืมไปว่า เครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์สมัยนั้นไม่ได้วางใจได้เหมือนเครื่องยนต์หัวฉีดสมัยนี้ ทำให้บางครั้งคาดแล้ว สตาร์ทแล้วไม่ติด ยังไงต้องคาดใหม่สตาร์ทใหม่ หลายทีเข้ามันก็น่ารำคาญ แต่เอาจริงๆถ้านำกลับมาใช้ยุคนี้รับรองว่าเวิร์คกว่าแน่นอน
อันดับที่  1 Paddle Shift  กระดิกแล้วเปลี่ยน
                น่าจะเป็นออพชั่นที่เราคุ้นหน้าตามากที่สุดเพราะรถยนต์หลายๆ รุ่นในปัจจุบันมีมันเป็นมาตรฐาน ซึ่งมันไม่ได้ไร้ค่าเสียทีเดียว เพียงแต่มันเชื่องช้าแม้จะมีการทำให้เกียร์ตอบสนองเร็วแล้วก็ตามแต่ท้ายที่สุด คุณก็จะพบว่ามันไม่เหมือนเกียร์ธรรมดาเสียทีเดียว ทำให้มันเป็นออพชั่นที่จะโดนใจก็ว่าไม่ใช่จะว่าใช้งานดีก็ไม่เชิง
                จากทั้ง 10 อันดับ ของเราจะเห็นได้ชัดว่า เทคโนโลยีไม่ได้หมายถึงว่าพวกมันจะดีเสมอไปบางทีการพึ่งเทคโนโลยีมากเกินไป ก็ทำให้เราใช้ความสามารถของเราน้อยลง ดังนั้นจงอย่าดูถูกความสามารถของตัวเอง จงใช้มันให้ควบคุมพร้อมกับเทคโนโลยี

ข้อมูลจาก Popular Mechanic

ไอเดียบรรเจิด!! ข้าวกล่องญี่ปุ่นน่ารักๆ


ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งนวัตกรรม
เรื่องจัดเบนโตะจะน้อยหน้าได้ไง
ไปดูเลยจ้า


















































10 อันดับปลาที่น่ากลัวที่สุดในโลก


อันดับที่ 10 Great white shark
            ฉลามขาวยังคงเป็นสัตว์ที่มนุษย์ยังคงหวาดกลัวมันจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากเราสามารถพบเห็นมันตามแถบทะเลชายฝั่งเกือบทั่วทุกมุมโลก ด้วยขนาดตัวที่ค่อนข้างใหญ่ และมีความยาวประมาณ 6 เมตร น้ำหนักประมาณ 2250 กิโลกรัม  ปลาฉลามขาวเป็นสัตว์กินเนื้อ เหยื่อที่มันเลือกจะล่ามีปลา (รวมทั้งปลากระเบนและฉลามที่ตัวเล็กกว่า) ปลาโลมา แมวน้ำ สิงโตทะเล เต่าทะเล และเต่าตะหนุ ทั้งยังมีชื่อ ในเรื่องกินไม่เลือก แม้กระทั่งของที่กินไม่ได้อย่างกระป๋อง ทุ่มลอยน้ำ และฉลามขาว มีจมูกที่ไวต่อกลิ่นเลือดเป็นอย่างมาก เพราะฉลามขาวสามารถได้กลิ่นเลือดเพียง 1 หยดที่อยู่ไกลออกไปถึง 3 กิโลเมตรได้...

อันดับ9 Frilled shark
Frilled shark เป็นฉลามในสกุล Chlamydoselachus มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ ว่า Chlamydoselachus anguineus เดิมคิดว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่มีรายงานพบใน หลายพื้นที่ รวมถึงในเขตน่านน้ำญี่ปุ่น ทำให้กลายเป็น ฟอสซิลมีชีวิต” อีกชนิดหนึ่ง ที่ยังคงมีชีวิตเหลือรอดในยุคครีเทเชียส จนกระทั่งปัจจุบัน หน้าตาของฉลามชนิดนี้แตกต่างจากฉลามที่เรารู้จักกันทั่วไป เพราะคล้ายกับปลาไหล สีน้ำตาลหรือสีเทามากกว่า แต่การมีช่องเหงือก 6 คู่ เป็นจุดที่ยืนยันว่ามันคือฉลาม ตัวเต็มวัยยาวได้ถึง 6.5 ฟุต ส่วนตัวที่พบล่าสุดยาว 5.3 ฟุต

อันดับที่8 Wolf Fish
ปลาหมาป่าหรือหมาป่าทะเล โดยมักอาศัยหลบ ซ่อนตามโขดหินปลาหมาป่าเป็นปลาที่มีหัวค่อนข้างใหญ่ มีปากขนาดใหญ่และฟัน แหลมคม ฟันนี้ใช้สำหรับแทะเพื่อกินเม่นทะเลเป็นอาหาร (สัตว์น้ำจำพวกที่มีเปลือก เป็นอาหารหลักของมัน) พวกมันสามารถมีขนาดใหญ่ถึง 20 กิโลกรัม และสามารถยาว ถึง 150 เซนติเมตร

อันดับที่7 Goliath Tigerfish
ปลา Tiger Fish เป็นปลาน้ำจืดกลุ่ม Characin(กลุ่มเดียวกับปิรันย่า) ที่มีขนาดใหญ่ มักอาศัยใน แม่น้ำ Lualaba และทะเลสาป Tanganyika ประเทศคองโก ขนาดใหญ่สุด มี น้ำหนักถึง 80 ปอนด์ ที่เรียกว่า ปลาเสือ” ก็เพราะ ก็อันเนื่องมาจากข้อมูลพฤติกรรม ของมันที่เป็นนักล่ามาแต่กำเนิด บวกกับเขี้ยวของมันและด้วยรูปร่างของมันคล้าย ตอร์ปิโด

อันดับที่6 cookiecutter shark
ฉลามคุกกี้คัตเตอร์ หรือ cigar shark ชื่อออกน่ารัก แต่นิสัยมันไม่น่ารักเลยนะ
มันเป็นปลาฉลามอีกพันธุ์ที่หายาก อาศัยน้ำลึก 500 ฟุต มีขนาดเล็กขนาดเท่าซิการ์ เท่านั้น แต่พิษสงมันเหลือร้ายทำให้มันล่าเหยื่อขนาดใหญ่อย่างวาฬและโลมาเป็น อาหารได้สบายๆ โดยฉลามคุกกี้คัตเตอร์นั้นมีเทคนิคซุ่มโจมตีที่ใช้ประโยชน์จากการ เรืองแสงในตัวเหมือนกับผี

อันดับที่5 แฮคฟีช (hagfish)
แฮคฟีช (hagfish) รูปร่างเหมือนทากหรือปลิงแต่ความจริงแล้วเป็นปลา เป็นปลา ไม่มีขากรรไกรที่อาศัยอยู่ในทะเล โดยการกินปลาตาย หรือใกล้ตายรวมทั้งสัตว์ไม่ มีกระดูกสันหลังที่มีลำตัวอ่อนนุ่ม กลุ่มหนอนปล้อง มอลลัสและครัสเตเชียน ดังนั้น แฮคพีช จึงไม่เป็นปาราสิต และไม่ได้เป็นสัตว์ล่าเหยื่อ แต่ค่อนมาทางกินซากสัตว์ มากว่า แฮคฟีชมีประมาณ 32 ชนิด ชนิดที่รู้จักกันดีในอเมริกาเหนือ ในมหาสมุทร แอตแลนติก

อันดับที่4 Basking Shark
ฉลามบาสกิ้น ความจริงยังมีฉลามอีกมากควรติดอันดับ เช่นฉลามยักษ์เมกาโลดอน
(Megalodon Sharkหรือฉลามเมกาเมาทธ์ (MegaMouth ) แต่ดูเหมือนว่าฉลาม บาสกิ้นจะดูโดดเด่นที่สุดในอันดับของเรา โดยฉลามชนิดนี้เป็นยักษ์ใหญ่ผู้ใจดีแห่ง ท้องทะเลใหญ่เป็นอันดับสองรองจากฉลามวาฬยาวประมาณ 12.27 เมตร หนักกว่า 19ตัน มีรายงานการพบปลาขนาดใหญ่ที่นอร์เวย์วัดได้ยาว 12 เมตร มีปากขนาดใหญ่ แต่กินแพลงตอนเป็นอาหารโดยปากของมันจะเหมือนตัวกรองที่สามารถดูดน้ำเข้าปาก ได้ 2000 ตันต่อชั่วโมง

อันดับที่3 Blob Fish
ปลาบร็อบ ถูกพบในระดับความลึกที่มีแรงดันมากกว่าปกติ ถึง 12 เท่าทำให้ถุงลม
ขาดประสิทธิภาพ เพื่อที่ปลา สามารถลอยตัวได้ (ที่รู้จักกันในชื่อ "กระเพาะปลา"
มีหน้าที่ เก็บกักอากาศ หรือปล่อยอากาศออกเพื่อประโยชน์ในการลอยตัว หรือดำน้ำ) ปลาจึงมีเนื้อที่มีลักษณะเป็นวุ้น มีความหนาแน่น น้อยกว่าน้ำเล็กน้อย เพื่อให้สามารถ ลอยตัวเหนือพื้นทะเล โดยใช้พลังงานน้อยที่สุดในการลอยตัว และว่ายน้ำ จึงทำให้ ปลาบร็อบ ไม่จำเป็นต้องมีกล้ามเนื้อ และข้อดีอย่างแรกก็คือมันสามารถทิ้งตัวลงมา จับเหยื่อจากด้านบนจึงเป็นการดีกว่าจะเข้า จู่โจมจากด้านหน้าที่อาจจะได้รับอันตราย จากการที่เหยื่อต่อสู้

อันดับที่2 Lamprey
ปลาแลมเพรย์เป็นปลาไหลชนิดหนึ่ง ลำตัวด้านหลังมักจะเป็นสีดำ มีครีบหลังและ
ครีบหาง แต่ไม่มีครีบคู่ ไม่มีเกล็ด ปากจะอยู่ค่อนลงมาทางด้านท้อง มีลักษณะคล้าย
แว่นใช้สำหรับดูด ปากกลมซึ่งไม่จำเป็นต้องมีกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ขึ้นมาบังคับ
ขากรรไกรให้อ้าและหุบแบบปัจจุบัน พวกมันต้องการเพียงปากที่มีตะขอสำหรับเกาะ
เหยื่อเพื่อดูดเลือดสัตว์อื่นเป็นอาหาร และดำรงชีพเป็นปรสิตเมื่อดูดเลือดของเหยื่อจน ตัวเหยื่อแห้งก็จะปล่อยแล้วหาเหยื่อใหม่

อันดับที่1 Fanfin Seadevil
ปลาปีศาจ ครีบพัด (Fanfin Seadevil) หรือ Caulophryne jordani เป็น ปลาน้ำลึก ในตระกูล Anglerfish ปลาปลาปีศาจ ครีบพัด ( Fanfin Seadevil ) มีสี่งที่แปลก และ โดดเด่นกว่า ปลาในตระกูล Anglerfish ทั่วไปคือ พวกมันไม่มีหงอนเรืองแสงบนหัว ที่ใช้สำหรับล่อเหยื่อในที่มืด และทั่วทั้งร่างมีครีบยาว คล้ายพัด เช่นเดียวกับปลาใน ตระกูล Anglerfish เพศผู้มีขนาดเล็กกว่ามากเพศเมีย เพศผู้เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาด เพียง 0.5 นิ้ว (1.27 เซ็นติเมตร) ส่วนเพศเมียจะมีขนาดใหญ่ได้ถึง 10นิ้ว (25 เซ็นติเมตร ความยาวไม่รวมหนวด) การที่เพศผู้มีขนาดเล็ก และเพศเมีย มีขนาด ใหญ่นั้นเกิดจากอุปนิสัยที่ เมื่อตัวผู้พบ ตัวเมีย ตัวผู้จะเกาะติดตัวเมียด้วยปาก ทำตัว เหมือนกาฝาก โดยดูดเลือดของตัวเมียเป็นอาหาร และเมื่อนานวันตัวผู้จะศูนย์เสีย การมองเห็น และประสาทสัมผัสต่างไป และหลอมรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตัวเมีย

ที่มา 
http://www.siamfishing.com/content/view.php?nid=74956&cat=photo_in